วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

ประเพณีแซนโฎนตา



ไงแซนโฎนตา (สารทชาวไทยเชื้อสายเขมร)
          ชาวไทย เชื้อสายเขมรในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรืองานสารท เพื่อทำบุญบูชา รำลึก และอุทิศอาหาร ข้าวของเครื่องใช้แก่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย หรือบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วเช่นเดียวกันกับกลุ่มคนไทยอื่นๆ แต่แตกต่างกันในขั้นตอนพิธีกรรม ปัจจุบันงานแซนโฎนตามีการปฏิบัติกันทั้งในครอบครัว หมู่บ้าน และจังหวัด จะทำพิธีในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมลูกหลาน หรือญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่อื่นหรือที่แยกครอบครัวจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ลูกสาวหรือลูกสะใภ้จะต้องเตรียมของฝาก “กันจือเบ็น” (กระเฌอสำหรับจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้)เป็น เสื้อผ้าเครื่องใช้มาส่งครอบครัวใหญ่ และจะช่วยกันจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ เสื้อผ้าเครื่องใช้ เพื่อใช้ในการเซ่นไหว้บรรพบุรุษของครอบครัว
          ในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เชื่อว่าเป็นวันที่บรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วเดินทางมาถึงโลก ชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกครอบครัวจะจัดเตรียมตั้งเครื่องเซ่นไหว้ที่บ้าน โดยจัดใส่กันจือเบ็นเพื่อญาติๆ ใช้สำหรับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การทำพิธีแซนโฎนตาโดยผู้อาวุโสก็จะเรียกถามหาลูกหลาน ญาติพี่น้องว่ามาพร้อมหน้ากันหรือยัง และให้มารวมกัน แล้วจะเริ่มเซ่นไหว้โดยจุดธูปเทียน ยกขันห้าไหว้และต่างก็พูดเรียกดวงวิญญาณบรรพบุรุษให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ แล้วรินน้ำให้ล้างมือ และรินเครื่องดื่ม เช่น เหล้า น้ำอัดลม ฯลฯ ชี้บอกให้รู้ว่ามีเครื่องเซ่นไหว้อะไรบ้าง เสมือนการมารายงานตัวต่อบรรพบุรุษว่าได้มารอต้อนรับแล้ว ในพิธีเซ่นไหว้ใช้เวลาประมาณ ๒๐ –๓๐ นาที เมื่อ ทำพิธีเสร็จแล้วลูกหลานญาติพี่น้องก็จะนำอาหารเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ มารับประทานร่วมกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในหมู่ลูกหลาน ญาติมิตร เพราะหนึ่งปี มีครั้งเดียว ลูกหลานที่ไปอยู่หมู่บ้านอื่นหรือต่างจังหวัดจะได้รู้จักคุ้นเคยกัน ในช่วงเย็นเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว พร้อมบอกให้วิญญาณบรรพบุรุษไปที่วัดเพื่อฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นพระสงฆ์จะทำพิธีมอบเครื่องเซ่นไหว้แก่บรรพบุรุษ แล้วกลับมาบ้านเตรียมปูที่นอนและเครื่องใช้สำหรับให้บรรพบุรุษ เชื่อว่าบรรพบุรุษจะค้างที่บ้านในคืนนี้ ก่อนสว่างก็จะทำเรือกาบกล้วย ใส่เงินกระดาษ ขนม อาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ และเสื้อผ้าของใช้ขนาดเล็ก จุดธูปเทียนแล้วลอยไปในแม่น้ำ หรือบ่อในบริเวณบ้านเพื่อเป็นการส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลับสู่ยมโลกก่อนสว่าง หากไม่ทำเรือส่งท่านก็จะกลับไปยมโลกไม่ได้ และจะติดค้างอยู่ในโลกกระทั่งถึงไงแซนโฎนตาอีกรอบนับเป็นการสร้างบาปและความ ทุกข์แก่วิญญาณบรรพบุรุษ
ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐  เช้าตรู่ชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกครอบครัวก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ไปวัดอีก เพื่อทำบุญอุทิศแก่ผีไม่มีญาติ
ไงแซนโฎนตาเป็นโอกาสที่ญาติๆ ที่อาศัยอยู่ที่อื่นได้กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ได้รับพรจากผู้ใหญ่ เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ทำให้เกิดความรักสามัคคีระหว่างเครือญาติ เกิดความเสียสละ เพราะเครื่องเซ่นไหว้ทุกคนมีส่วนหามา และมีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ไงแซนโฎนตา ถ้าลูกหลานคนใดไม่ได้จัดทำ หรือไม่มาร่วมพิธีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรบรรพบุรุษอาจไม่พอใจ อาจจะโยงเป็นเหตุให้ทำมาหากินไม่ราบรื่น จิตใจเกิดความกังวลไม่เป็นสุข ด้วยความเชื่ออย่างนี้ทุกคนจึงพยายามไปร่วมพิธี หรือไม่ก็จัดเครื่องเซ่นไหว้ที่บ้านของตน
          ในจังหวัด สุรินทร์นอกจากชาวไทยเชื้อสายเขมรแล้ว ยังมีชาวไทยกวยหรือกูย และชาวไทยเชื้อสายลาวที่มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรืองานสารทเหมือนกับชาวไทยเชื้อสายเขมร ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี
นิยามศัพท์เฉพาะ
ไง หมายถึง วัน
แซน หมายถึง การเซ่น การเซ่นไหว้ การบวงสรวง
โฎนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
ประเพณีแซนโฎนตา หมายถึง ประเพณีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ จัดเป็นประเพณีสำคัญที่คนไทยซึ่งพูดภาษาเขมร มีการสืบทอดมาเป็นระยะเวลานาน











ที่มา : http://www.finearts.go.th/surinmuseum/parameters/km/item/%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%8E%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3.html

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ลายผ้าไหมในจังหวัดสุรินทร์

ผ้าไหมงามเมืองสุรินทร์

ประวัติความเป็นมา
จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าไหมมานานและได้สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมมานานจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่น่สนใจยิ่งหากศึกษาอย่างลึกซึ่งแล้ว จะค้นพบเหตุผลหลายประการที่สนับสนุนว่า จังหวัดสุรินทร์มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองในเรื่องผ้าไหม ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการทอ ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของผ้าไหม การผลิตเส้นไหมน้อย และกรรมวิธีการทอ   จังหวัดสุรินทร์นิยมนำเส้นไหมขั้นหนึ่งหรือไหมน้อย (ภาษาเขมร เรียก “โซกซัก”) มาใช้ในการทอผ้า ไหมน้อยจะมีลักษณะเป็นผ้าไหมเส้นเล็ก เรียบ นิ่ม เวลาสวมใส่จะรู้สึกเย็นสบาย นอกจากนี้การทอผ้าไหมของจังหวัดสุรินทร์ ยังมีกรรมวิธีการทอที่สลับซับซ้อน และเป็นกรรมวิธีที่ยาก ซึ่งต้องใช้ความสามารถและความชำนาญจริง เช่น การทอผ้ามัดหมี่พร้อมยกดอกไปในตัว ซึ่งทำให้ผ้าไหมที่ได้เป็นผ้าเนื้อแน่นมีคุณค่า มีการทอที่เดียวใบประเทศไทย จนเป็นที่สนพระทัยและเป็นที่ชื่นชอบของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งว่า ใส่แล้วเย็นสบาย อีกทั้งยังใช้ฝีมือในการทออีกด้วย
ลักษณะเด่นของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์
  1. มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์โดยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากกัมพูชา และลวดลายที่บรรจงประดิษฐ์ขึ้นล้วนมีที่มาและมีความหมายอันเป็นมงคล
  1. นิยมใช้ไหมน้อยในการทอซึ่งไหมน้อยคือไหมที่สาวมาจากเส้นใยภายในรังไหม มีลักษณะนุ่ม เรียบ เงางาม
  1. นิยมใช้สีธรรมชาติในการทอทำให้มีสีไม่ฉูดฉาด มีสีสันที่มีลักษณะเฉพาะ คือ สีจะออกโทนสีขรึม เช่นน้ำตาล แดง เขียว ดำ เหลือง อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจากเปลือกไม้ 
  1. ฝีมือการทอจะทอแน่นมีความละเอียดอ่อนในการทอและประณีต รู้จักผสมผสานลวดลายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แสดงถึงศิลปะที่สวยงามกว่าปกติ
  1. แต่เดิมนั้นการทอผ้าไหมของชาวบ้านทำเพื่อไว้ใช้เอง และสวมใส่ในงานทำบุญและงานพิธีต่างๆ
การทอจะทำหลังจากสิ้นสุดฤดูกาลทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลัก มิได้มีการทอเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด จนมีคำกล่าวทั่วไปว่า “พอหมดหน้านา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็ก”
แหล่งผลิตผ้าไหมในจังหวัดสุรินทร์ จึงมีเกือบทุกหมู่บ้าน ผู้สนใจสามารถไปชมกรรมวิธีการเลี้ยงไหม และการทอผ้าไหมจากแหล่งต่าง ๆ ได้มากมายหลายแห่ง ลายผ้าไหมของชาวสุรินทร์ มีผู้จัดประเภทตามลักษณะการทอได้ 6 ประเภท คือ
ผ้าไหมมัดหมี่
  1. มัดหมี่โฮล หรือ จองโฮล(จองเป็นภาษาเขมร หมายถึง ผูกหรือมัด) หรือ ซัมป็วตโฮล เป็นหนึ่งในผ้าไหมมัดหมี่ของเมืองสุรินทร์ มัดหมี่แม่ลายโฮล ถือเป็นแม่ลายหลักของผ้ามัดหมี่สุรินทร์ที่มีกรรมวิธีการมัดย้อมด้วยวิธีเฉพาะ ไม่เหมือนที่ใดๆ ความโดดเด่นของการมัดย้อมแบบจองโฮล คือในการมัดย้อมแบบเดียวนี้ สามารถทอได้ 2 ลาย คือ โฮลผู้หญิง (โฮลแสร็ย) หรือผ้าโฮลธรรมดา และสามารถทอเป็นผ้าโฮลผู้ชาย (โฮลเปราะฮ์) ไว้นุ่งในงานพิธีต่างๆ
ผ้าโฮล ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทผ้าไหม ในงาน “มหกรรมผ้าไทย เทิดไท้องค์ราชินี” เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2545 ณ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
      2. มัดหมี่อัมปรม หรือ จองกราเป็นการมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืนซึ่งมีปรากฏที่จังหวัดสุรินทร์แห่งเดียวในประเทศไทย การมัดหมี่อัมปรมนี้จะทอให้ส่วนที่มัดเป็น “กราปะ” คือ จุดปะขาวของเส้นยืน มาชนกับจุดปะขาวของเส้นพุ่ง ให้เป็นเครื่องหมายบวกบนสีพื้น เช่น การทอบนพื้นสีแดงซึ่งย้อมด้วยครั่ง ก็เรียกว่า อัมปรมครั่ง การทอบนพื้นสีม่วง ก็เรียกว่า อัมปรมปะกากะออม
จังหวัดสุรินทร์ได้ตัดเสื้อผ้าไหมมัดหมี่อัมปรมให้คณะรัฐมนตรีในการเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 10 –11 พฤศจิกายน 2544
  1. มัดหมี่ลายต่างๆ หรือ จองซินเป็นมัดหมี่ที่เหมือนจังหวัดอื่นๆ ทั่วๆ ไป มีหลายลาย แบ่งได้ดังนี้
       3.1 มัดหมี่ลายธรรมดา เช่น ลายหมี่ข้อ หมี่คั่น หมี่โคม ซึ่งจะพบมากที่ บ้านจารพัต อำเภอศีขรภูมิบ้านสดอ บ้านนาโพธิ์ บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ บ้านสวาย บ้านนาแห้ว ตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์
       3.2 มัดหมี่ลายกนก เช่น ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายสับปะรด ลายพระตะบอง ลายก้านแย่ง ลายพนมเปญ ลายดอกมะเขือ ส่วนมากจะพบที่ บ้านสวาย ตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์ บ้านอู่โลก ตำบลอู่โลก อำเภอลำดวน
       3.3 มัดหมี่ลายรูปสัตว์ ต้นไม้ และลายผสมอื่นๆ เช่น รูปนก ไก่ ผีเสื้อ ช้าง ม้า นกยูง ปลาหมึก พญานาค นำมาผสมกับลายต้นไม้ดอกไม้ต่างๆ หรือทอลายสัตว์เดี่ยวๆ ตลอดผืน พบมากเกือบทุกหมู่บ้าน
        ผ้ายกดอกลายดอกพิกุล หรือ ปกาปกุน ผ้ายกดอกลายนี้จะย้อมเส้นด้ายยืนสีเดียวและอาจใช้สีอื่นคั่นระหว่างดอกก็ได้ การเก็บตะกอ 4 ตะกอ โดยการทอลายขัดเป็นพื้น 2 ตะกอ ส่วนอีก 2 ตะกอเป็นลวดลายการทอลายนี้จะทอทีละตะกอ จะพบที่บ้านเขวาสินรินทร์เป็นส่วนใหญ่
แหล่งผ้าไหมเมืองสุรินทร์
ที่บ้านสวาย มีผ้ามัดหมี่ลายฟ้อนซึ่งใช้เป็นผ้าแขวนผนังและทอผ้าขาวถวายพระสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้     บรรพบุรุษ และเวลามีงานแต่งงานฝ่ายผู้หญิงมักจะใช้ผ้าสีขาว เป็นผ้าสมมาให้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชาย ส่วนผ้าที่ใช้นุ่งห่มมีผ้าซิ่นที่ต่อด้วยตีนซิ่นที่เป็นมัดหมี่ เรียกว่าผ้าปะโบล ผ้าสไบนิยมสีขาวทอแบบยกดอกหรือลายลูกแก้ว ซึ่งเรียกว่าโฉนดเรย ไม่นิยมสีดำแต่ก็มี ส่วนผ้ามัดหมี่มีลายโคม (กะเงาะมูย) ลายหงอนไก่แจ้ (กะเมนแจ้)ลายทะเลพับหรือลายคลื่น (ตะลีบ๊อด) และผ้าปะกากันเตรยเป็นลายทางริ้วๆ มีลายขวางๆ คล้ายดอกหญ้าเจ้าชู้ที่ติดผ้า ถ้าเป็นเส้นขวางตัดกันเรียกลายกระแซเอ หรือลายลูกอีกา
บ้านนาแห้ว ตำบลสวาย มีทอทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย ผ้าซิ่นผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าทอไหมหัว (โสดกบาล) เป็นผ้านุ่งตาตาราง และมีผ้าลายลูกแก้ว ทอ 4 เขา เรียกตะกอบูล ห่มสไบเริก ที่เป็นผ้ายกไหมลายลูกแก้วและทอผ้ามัดหมี่ที่เรียกผ้มปูม หรือโฮลเปร๊าะ สำหรับการทอผ้ายกลายลูกแก้วนั้นเรียกว่า เหยียบกูบ มีทอตั้งแต่ 3 -8 ตะกอ
บ้านจันรม หมู่ที่ 4 ตำบลตาอ๊อง ผู้หญิงนุ่งซิ่นทั้งผ้ามัดหมี่ ผ้าอัมปรม ผ้าสมอเอและผ้าประกากันเตรย ผ้ามัดหมี่ที่ใช้ทั่วไป คือ ผ้าหมี่คั่นลายขอ ลายนาค ลายไก่ ลายนกยูง ผ้าตาตาราง มีผ้าอัมปรมซึ่งเป็นผ้าที่เก่าที่สุดของเขมรและนิยมใช้เป็นผ้าสมมาผู้เฒ่าเช่นเดียวกับผ้าสมอเอ อันเป็นผ้าที่ย้อมแล้วนำมาทอไม่ต้องมัดต่างจากมัดหมี่ที่ต้องมัดให้เกิดสีต่างๆตามลายที่กำหนดไว้
บ้านจารพัทนั้นก็เช่นเดียวกับที่อื่น ที่ผู้หญิงเชื้อสายเขมรนุ่งผ้าซิ่นไหม ที่นี่มีทั้งเลี้ยงไหมเองและซื้อจากพ่อค้าที่นำมาขาย มาทอ ผ้าซิ่นผู้หญิงมีผ้าอัมปรม ผ้าอันลุยซีม (หมี่คั่นแบบสยาม) ผ้าโฮล ซึ่งมีทั้งโฮลริ้วและโฮลเปร๊าะที่คิดลายใหม่คือลายแมงมุมดูคล้ายลายโคม และผ้ากราซะไน ลายแหโบราณ การนุ่งผ้าซิ่นก็เหมือนกับผู้หญิงอีสานโบราณทั่วไปที่นิยมนุ่งซิ่นซ้อน2 ผืน เพราะผ้าไหมบางจะแนบตัวมากไป จึงนุ่งซ้อนอีกผืนเพื่อให้ผ้านุ่งอยู่ตัว
บ้านดงเย็น ตำบลหนองบัว อำเภอท่าตูม นางถาวร เกลี้ยงอุทธา อายุ 38 ปี ได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันที่นี่ทอผ้าที่ย้อมสีธรรมชาติแบบใหม่ไม่ทอผ้าซิ่นแบบเก่าแล้ว ที่ทออยู่คือผ้าห่มที่ทอด้วยฝ้าย แบบใช้ 6 ตะกอ ตามแบบโบราณโดยจะทอยกเป็นลายลูกแก้ว และจะทำย้อย (ชายครุย)ทั้ง 2 ชาย ส่วนผ้าทำที่นอน (เสื่อ) เป็นผ้าลายทาง เรียกผ้า 2 เขา และที่เป็นตารางเรียกผ้า 6 เขา
บ้านหนองกลาง หมู่ 11 ตำบลหนองบัว อำเภอท่าตูม ปัจจุบันไม่ทอแบบโบราณแล้ว แต่จะทอผ้าฝ้ายแบบใหม่ ซึ่งเอกชนคือกลุ่มพรรณไม้ มาให้การสนับสนุน และย้อมสีแบบธรรมชาติ
ส่วนผ้าซิ่นมัดหมี่มีลายโคมน้อย ลายกำแพงคั่นทั้งท้องผ้าและตีนซิ่น แบบเขมรมีทอผ้าโฮล ซึ่งเป็นลายทางยาวเล็กๆ และแบบส่วยคือติดปะโบล นอก จากนี้มีลายพระธาตุพนมซึ่งลอกเลียนมาจากลายของสกลนคร
ที่จังหวัดสุรินทร์พบกลุ่มเชื้อสายส่วย 2 แห่ง คือที่บ้านสองห้อง หมู่ 5 ตำบลหัวงัว อำเภอสนมและที่บ้านตากลาง หมู่ 13ตำบลกะโพ อำเภอท่าตูม ซึ่งที่บ้านสองห้อง ทอผ้าใช้เช่นเดียวกับแหล่งอื่น โดยมีทั้งการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เมื่อเวลาย้อมไหม กล่าวว่ามีการถือเคล็ดในการย้อมสีจากเปลือกไม้ โดยเฉพาะ การย้อมครามกับผ้าไหม ซึ่งจะติดดีมาก แปลกจากที่อื่นที่ผ้าไหมจะย้อมครามไม่ค่อยติด ครามนั้นปกติจะย้อมติดดีกับผ้าฝ้าย สำหรับที่บ้านสองห้องสามารถย้อมครามในผ้าไหมได้ดีด้วยมีเคล็ดที่ว่า เวลาย้อมห้ามพระและสตรีรอบเดือนเข้ามาในบริเวณบ้านที่กำลังทำการย้อมผ้าอยู่ และห้ามไม่ให้คนที่กำลังย้อมผ้าพูดคุยกับใครทั้งสิ้น

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง 2560

มหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง 2560


วันที่ 7 - 8 ก.ค. 2560
 บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ และอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวและผู้ออมบุญสะสมบุญวันเข้าพรรษาในงาน มหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ประจำปี 2560 ในวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2560 ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมือง จ.สุรินทร์     เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวไทย รวมทั้งเป็นการ      ส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์



 งานมหกรรมแห่เทียน พรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง จังหวัดสุรินทร์”ประจำปี 2560 จัดขึ้นเป็นปีที่ 11 เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวสุรินทร์ในการบำรุงรักษาศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามให้ดำรงอยู่สืบไป





กิจกรรมภายในงาน วันที่ 7 กรกฎาคม 2560 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ชมขบวนแห่เทียนพรรษาที่ตกแต่งอย่างสวยงามวิจิตรงดงามจาก 12 คุ้มวัดชื่อดังอาทิ วัดบูรพารามฯ วัดศาลาลอยฯ วัดกลางสุรินทร์ ฯลฯ



ชมขบวนฟ้อนรำศิลปวัฒนธรรมของชาวจังหวัดสุรินทร์ พร้อมขบวนแห่ช้างที่ยิ่งใหญ่นับ 66 เชือก ไม่ว่าจะเป็นขบวนช้างประดับ   สวยงาม ขบวนช้างเทิดพระเกียรติ ขบวนช้างพระเถระชั้นผู้ใหญ่ และพลาดไม่ได้กับไฮไลท์งานบุญใหญ่ วันที่ 8 กรกฎาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ร่วมทำบุญ ตักบาตรบนหลังช้างหนึ่งเดียวในโลก ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง     โดยมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่นั่งบนหลังช้างออกรับบิณฑบาตแก่นักท่องเที่ยวให้ได้ร่วมใส่บาตรโดยพร้อมเพรียงกัน












วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กลอน8

ชื่อ นาย ณัฐพากย์ ดาศรี
รหัสนักศึกษา : 59125260127
สาขา : คอมพิวเตอร์ธุรกิจ






" อันตัวข้ามีนามว่าณัฐพากย์
ชอบนอนเล่น ไอจี ไลน์ เฟสบุ้ค
วันๆหนึ่งไม่ทำห่าอะไรเลย
เอาแต่นอนเล่นเกมส์ ทั้งวัน เอย "










ขาย Water Cooling Set ราคากันเอง ไม่แพงครับ
* มีให้เลือกมากมายหลายสีครับ *
สนใจ inbox ได้ที่ Facebook : ณัฐพากย์ ดาศรี
หรือโทร - 0992368082 -

ประเพณีแซนโฎนตา

ไงแซนโฎนตา (สารทชาวไทยเชื้อสายเขมร)           ชาวไทย เชื้อสายเขมรในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรือง...